วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

การเลือกใช้ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย


      จากการที่ผู้ป่วยโรคเอดส์ร้อยละ 84 ได้รับเชื้อเอดส์มาจากการมีเพศสัมพันธ์ มาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ จึงเน้นที่การรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เหมาะสม รักเดียว-ใจเดียว มีคู่เพศสัมพันธ์เพียงคนเดียว แต่ก็ยังคงมีการแพร่ระบาดทางเพศสัมพันธ์ในระดับสูง มาตรการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทางเพศสัมพันธ์จากการเฝ้าระวันพฤติกรรม เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ทางเพศสัมพันธ์ใน กลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 - 29 ปี พบว่าอัตราการใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสน้อยกว่าร้อยละ 30 ทั้งนี้เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีเจตคติต่อถุงยางอนามัยในเชิงลบ เช่น คิดว่าถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มั่นใจในคุณภาพของถุงยางอนามัยกลัวคู่นอนคิดว่าตัวเองติดเชื้อและไม่แน่ใจว่าถุงยางอนามัยจะป้อง กันโรคได้
แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมีความรู้เรื่องโรคเอดส์ และวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอดส์เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักถึงประโยชน์ของถุงยางอนามัย เพื่อให้ยอมรับการใช้ถุงยางอนามัยมากยิ่งขึ้น และเพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอดส์ให้น้อยลง โดยการเน้นความน่าเชื่อถือในคุณภาพและแสดงถึงความรอบคอบ และปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ตีตราว่าถุงยางอนามัยเป็นสัญญลักษณ์ของความสำส่อนทางเพศ ให้สื่อแสดงว่าถุงยางเป็น เครื่องใช้ที่บ่งบอกถึงความรอบคอบระมัดระวังรวมทั้งต้องส่งเสริมสนับสนุนและควบคุมตรวจสอบการผลิตถุงยางอนามัยให้มีมาตรฐานคุณภาพดีสร้างความมั่นใจต่อประชาชนผู้บริโภคว่ามีความปลอดภัยในการป้องกันการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์และเชื้อเอดส์ได้ถุงยางอนามัยหรือ Condom เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ   น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ๆ ใช้สวมอวัยวะเพศชายในขณะร่วมเพศ เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ถุง ปลอก เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย สุลต่าน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า condom,skin,sheath,prophylactics เป็นต้น


ขบวนการผลิตถุงยางอนามัยประกอบด้วย 6 ขั้นตอนคือ
  1. การผสม
  2. การขึ้นรูปถุงยางอนามัย
  3. การอบแห้งและทำให้ยางคงรูป
  4. การตรวจสอบหารอยรั่วด้วย ไฟฟ้า
  5. การเติมสารหล่อลื่นและการบรรจุถุงยางอนามัย
  6. การควบคุมคุณภาพถุงยางอนามัย
ซึ่งผู้ผลิตจะทำการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ภาครัฐยังได้ส่งเสริมมาตรการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2535 โดยการริเริ่มโครงการตรวจสอบคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนออกจำหน่าย โดยกำหนดให้ถุงยางอนามัยทุกรุ่นการผลิต หรือนำเข้าจะต้องส่งตัวอย่างให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดหากพบว่าได้มาตรฐานจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้ในกรณีที่คุณภาพไม่เข้ามาตรฐานจะต้องทำลายหรือส่งกลับประเทศผู้ผลิตทันทีมาตรการดังกล่าวจึงเป็นเสมือนการกลั่นกรองคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนถึงมือผู้บริโภคตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการที่จะผลิตหรือนำเข้าเฉพาะถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพเป็นที่น่าเชื่อถือแก่ผู้ใช้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดจะผ่านขั้นตอนการผลิต และการควบคุมคุณภาพเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและภาครัฐแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีเนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะเสื่อมสลายได้ตามระยะเวลา และสภาพการเก็บรักษา อาจมีส่วนทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนเวลาอันควรหรือก่อนวันสิ้นอายุที่ระบุไว้บนฉลากเมื่อนำถุงยางอนามัยไปใช้งานจะสามารถใช้คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคได้แน่นอนหรือไม่ มิได้ขึ้นกับคุณภาพของถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ว่าใช้ถูกต้องหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง หรืออาจแตกขณะใช้ สาเหตุเนื่องจากบางครั้งผู้ใช้อาจละเลย หรือมิได้คำนึงถึงเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งได้แก่ การเลือกซื้อ การเก็บรักษาและวิธีการใช้หากผู้ใช้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับคุมกำเนิดและป้องกันโรค ตลอดจนสามารถทำให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจ และมีทัศนคติที่ดีต่อถุงยางอนามัย

ชนิดของถุงยางอนามัย
  • ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ
  • การเลือกซื้อควรสังเกตดู ว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ซื้อควรสังเกตข้อความอื่น ๆ ว่าครบถ้วน และตรงกับความต้องการหรือไม่ เช่น ชื่อผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่น หรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ

ประเภทของถุงยางอนามัย
        ถุงยางอนามัยแบ่งประเภทตามขนาดความกว้าง ( ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางนามัย ) เป็น 13 ขนาด คือ 44 , 45 , 46 , 47 , 48 , 49 ,50 , 51 ,52 , 53 , 54 , 55 และ 56 มิลลิเมตร (มม.) ขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. มม. และ 52 มม.จากการสำรวจพบว่าปกติชายไทยจะใช้ถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. หากเป็นชายไทยรุ่นใหม่ ขนาด 52 มม. จะเหมาะสมกว่า การเลือกซื้อคงจะต้องซื้อในขนาดที่เคยใช้สวมใส่มาแล้ว หากมีขนาดใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่อยากใช้และมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อถุงยางอนามัย


ถุงยางอนามัย ถุงยางชาย
       ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกได้หลายชื่อ บางคนอาจจะเรียก ถุง ปลอก เสื้อเกราะ เสื้อกันฝน ฯลฯ ก็เป็นอันเข้าใจกันว่าหมายถึงถุงยางอนามัยชายนั่นเอง ถุงยางอนามัยโดยทั่วไปทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น อาจมีผนังขนาน มีหลายสีให้เลือก และมีหลายแบบ ทั้งแบบปลายเรียบมน ปลายเป็นกระเปาะ หรือเป็นติ่งยื่นออกมา แบบชโลมด้วยสารหล่อลื่น และแบบที่เคลือบน้ำยาฆ่าตัวอสุจิ ถ้าแบ่งตามลักษณะผิวจะมีทั้งแบบผิวเรียบและผิวไม่เรียบ ถ้าแบ่งตามขนาดความกว้างก็จะมีด้วยกันถึง 13 ขนาด ตั้งแต่ขนาด 44 จนถึง 56 มิลลิเมตร ในประเทศไทยขณะนี้จำหน่ายขนาด 49 และ 52 มิลลิเมตร
เพื่อความมั่นใจมากขึ้นสำหรับการคุมกำเนิดและป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงได้มีการนำสารที่เรียกว่า "โนน็อกซินอล"(nonoxynol) ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้ออสุจิเคลือบลงบนถุงยางอนามัย เพื่อความปลอดภัย 2 ขั้นตอน ถุงยางอนามัยเคลือบสารโนน็อกซินอล 11 (Condom with Nonoxynol-11) หรือ โนน็อกซินอล-11 สปอร์มิไซด์ หรือเรียกย่อ ๆว่า เอ็น -11 (N-11) คือสารฆ่าตัวอสุจิที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการคุมกำเนิดเมื่อนำ สารนี้มาเคลือบบนถุงยางจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยหยุดยั้งไม่ให้เชื้ออสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้



ข้อดีของถุงยางอนามัย
  • นอกจากใช้ในการคุมกำเนิดแล้วยังใช้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ กามโรค
  • ใช้ได้โดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ ปลอดภัย ไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียงเห็นผลง่ายและป้องกันได้ทันที
  • พกสะดวก น้ำหนักเบา หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลย
  • ช่วยยืดระยะเวลาการหลั่งน้ำอสุจิของฝ่ายชายได้ และไม่มีผลเสียต่อการเจริญพันธุ์เมื่อเลิกใช้
ข้อเสีย
  • ต้องใส่ก่อนร่วมเพศจึงเกิดการขัดจังหวะในการร่วมเพศเพราะต้องสวมถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นผู้ใส่ให้จะช่วยให้เกิดความรู้สึกดีขึ้น
  • ความรู้สึกในการสัมผัสการร่วมเพศตามธรรมชาติอาจลดลงบ้าง แม้ว่าถุงยางจะบางมาก ฝ่ายหญิงอาจจะไม่ได้รับรู้ว่ามีการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด
  • อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ หากถุงยางอนามัยแตก

ต้องมีแหล่งบริการถุงยางให้เพียงพอ มีการจัดเก็บที่เหมาะสม ไม่อยู่ในที่ร้อนจัดหรือมีแสงแดดส่องถึง   และเมื่อใช้เสร็จแล้วเป็นภาระในการทิ้งถุงยางที่เหมาะสม คุณผู้ชายบางคนไม่ค่อยที่จะชอบใส่ถุงยางอนามัย อาจจะมีความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติ หรืออาจจะมีความเชื่อและเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง บางคนคิดว่าถ้าใส่ถุงยางอนามัยฝ่ายหญิงจะคิดว่าตัวเองสกปรก หรือใช้สำหรับหญิงบริการเท่านั้น หรือไม่ใส่เพราะยังไม่ต้องการคุมกำเนิด และไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายติดเชื้อเอดส์ ไม่กล้าซื้อถุงยางอนามัยเพราะสังคมไทยยังไม่ยอมรับ ซึ่งความจริงแล้วถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติเพราะผลิตให้บางลงกว่าเดิมถึง 0.03 มิลลิเมตร นอกจากนี้แล้วการเลือกสีของถุงยางอนามัยให้ถูกต้องตามรสนิยมอาจช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ ถุงยางนั้นสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป วางอยู่ในที่ที่หยิบง่าย สามารถเลือกแบบและยี่ห้อได้ ให้นึกว่าถุงยางอนามัยคือของใช้ในชีวิตประจำวันชนิดหนึ่ง จะทำให้เลือกซื้อได้อย่างไม่เคอะเขิน
 
ถุงยางอนามัยเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และมีการรณรงค์ให้ใช้กันอย่างกว้างขวาง ถุงยางอนามัยจึงได้มีการพัฒนาและผลิตแบบต่าง ๆ เพื่อสนองรสนิยมและความต้องการที่หลากหลาย เช่น ทำให้บางลงและเหนียวขึ้น เพิ่มสีสันให้สวยงามน่าใช้ ทำเป็นสีเรืองแสงให้สว่างเรืองในที่มืดบางชนิดแทนที่จะเป็นถุงเรียบ ๆ ก็จะทำเป็นส่วนโค้ง ส่วนเว้า เป็นลอนหรือปุ่มเล็ก ๆ และยังผลิตถุงยางชนิดมีกลิ่นและรสต่าง ๆ เช่นกลิ่นผลไม้ กล้วยหอม สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ทุเรียน ช็อกโกแลต และรสมินท์ เป็นต้น


 

ถุงยางอนามัย ถุงนางหญิง
         ถุงยางอนามัยสำหรับหญิง มีลักษณะเป็นถุงโปร่งแสง ทรงกระบอก ปลายมนทำด้วย โพลียูรีเธน ปลายเปิดของถุงยางมีขอบลักษณะคล้ายห่วงติดอยู่เรียกว่า ขอบนอก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร ภายในก้นถุงซึ่งเป็นปลายตันจะมีห่วงอีกอันหนึ่งวางอยู่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เซนติเมตร เรียกว่า ขอบใน ซึ่งสามารถถอดออกได้ ขอบในจะใช้สอดถุงยางเข้าไปในช่องคลอด โดยบีบขอบในแล้วสอดเข้าไปจนสุดซึ่งจะเข้าไปครอบบนปากมดลูก และห่วงนี้จะยึดถุงยางไว้ไม่ให้หลุดออกมาในขณะที่ห่วงนอกที่เป็นขอบถุงยางจะช่วยให้ถุงยางแผ่ติดตรงบริเวณปากช่องคลอด สารโพลียูรีเธนมีความเหนียวทนทานมีความนุ่มนวลและบางกว่าชนิดที่ทำด้วยยางลาเท็กซ์จึงทำให้แนบกับผิวช่องคลอดได้ดีกว่าถุงยางอนามัยสตรี จะไม่มีน้ำยาหล่อลื่นชโลมมาด้วย จะใช้แยกต่างหากซึ่งทำให้ใช้ได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร ผู้ใช้จะต้องจัดหาสารหล่อลื่นเอง ควรใช้ชนิดที่ละลายน้ำเช่น เค-วาย เจลลี่ หรืออาจเป็นชนิดที่เคลือบด้วยน้ำยาฆ่าอสุจิ การสอดใส่ถุงยางอนามัยสตรีทำได้หลายวิธีโดยให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้ใส่เองหรือให้ฝ่ายชายเป็นผู้ใส่ให้โดยบีบห่วงที่ปลายถุงและสอดเข้าไปในช่องคลอด ถอดใส่ห่วงนอกแล้วสวมเข้ากับอวัยวะเพศชาย คล้ายถุงยางอนามัยชาย

ข้อดี
ผู้หญิงสามารถป้องกันตนเองได้ สามารถสอดใส่ไว้ก่อนร่วมเพศได้ ขนาดของถุงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างพอไม่ทำให้ฝ่ายชายอึดอัด มีความเหนียวและทนทานดี หลังการร่วมเพศแล้วฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องรีบถอนอวัยวะเพศออกเพื่อถอดถุงยางอนามัยทันที ยังคงสามารถสัมผัสใกล้ชิดกันได้นาน ๆ

ข้อเสีย
การสอดใส่ถุงยางเข้าไปในช่องคลอดหญิงอายุน้อยบางคนยังรับไม่ได้ หรือมีห่วงอยู่ที่ขอบถุงยางซึ่งโผล่อกมานอกปากช่องคลอด ทำให้คู่นอนเสียความรู้สึกทางเพศ มีรูปร่างเทอะทะไม่น่าใช้ ผู้ใช้บางรายอาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ นอกจากนี้แล้วราคายังแพงกว่าถุงยางอนามัยชาย ถุงยางอนามัยชายจึงได้รับความนิยมมากกว่า

การเลือกซื้อถุงยางอนามัย

การเลือกซื้อถุงยางอนามัยมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้

อ่านฉลากก่อนซื้อ จะทำให้ทราบว่า ถุงยางอนามัยดังกล่าว ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง มีความเหมาะสม ตรงกับความต้องการหรือไม่ ข้อความสำคัญที่ควรพิจารณาจากฉลากได้แก่
 
เครื่องหมาย อย.
เป็นการแสดงว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือยัง โดยสังเกตข้อความที่แสดง ตามตัวอย่างด้านล่าง ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ที่ อย. ผ. ../ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการผลิตในประเทศ หรือ อย. น…/ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการนำเข้า ฯ


เครื่องหมาย อย. ทื่แสดงบนภาชนะบรรจุ
วันหมดอายุ การกำหนดวันหมดอายุของถุงยางอนามัย ผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนดเองตามความเหมาะสมผู้ซื้อสามารถสังเกตว่าถุงยางอนามัยหมดอายุหรือไม่ โดยการสังเกตคำว่า  "หมดอายุ" หรือ "ต้องใช้ก่อน" ซึ่งจะแสดง เดือน และ ปี ที่หมดอายุไว้ทั้งบนฟอยล์บรรจุหนึ่งชิ้นและบนซองหรือกล่องย่อย ดังตัวอย่างข้อความที่มีการแสดง
  • ต้องใช้ก่อน 6/2542" เป็นการแสดงวันหมดอายุโดยใช้คำที่เข้าใจง่าย และตรงไปตรงมา ซึ่งหมายความว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวจะหมดอายุ หรือไม่ควรใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมิถุนายน 2542 เป็นต้นไป
  • หมดอายุ 6/2542" การแสดงข้อความโดยใช้คำว่าหมดอายุ เมื่ออ่านผ่าน ๆ แล้ว อาจไม่มีข้อสงสัยอะไร แต่จะพบว่ามีความเข้าใจเป็น 2 กลุ่ม

    กลุ่มแรก มีความเข้าใจว่าเดือนมิถุนายน 2542 ถุงยางอนามัยยังสามารถใช้ได้ และจะหมดอายุตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542
  • กลุ่มที่ 2 เข้าใจว่าถุงยางอนามัยดังกล่าว หมดอายุตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542จากคำนิยามคำว่า "วันหมดอายุ" หมายความถึง วันกำหนดที่แจ้งบนฉลากสำหรับการผลิตแต่ละครั้ง ซึ่งแสดงว่าในช่วงระยะเวลาก่อนวันนั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังคงมีคุณภาพมาตรฐานตามข้อกำหนด วันเวลาดังกล่าว ได้จากการรวมอายุของผลิตภัณฑ์ต่อจากวันที่ผลิตแต่ละครั้ง วันสิ้นอายุแจ้งเป็น เดือน ปี ท่านั้น หมายความว่า ลิตภัณฑ์ยังคงมีคุณภาพตามข้อกำหนดจนถึงวันสุดท้าย ของเดือนนั้นดังนั้นในกรณีที่มีการแสดงข้อความว่า "หมดอายุ 6/2542" ความหมายที่ถูกต้อง คือ ถุงยางอนามัยดังกล่าวมีอายุการใช้งานจนวันที่ 30 เดือนมิถุนายน 542 หรือไม่ควรใช้ถุงยางอนามัยดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นไป

การเก็บรักษา
ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้ด้วยตัวของมันเอง เมื่อระยะเวลาผ่านไป แต่จะเสื่อมสภาพได้มากขึ้นหากมีการเก็บรักษาอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนด จึงควรมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้
  • ไม่ควรเก็บรักษาในที่มีความชื้นสูง ในที่ร้อนหรือสัมผัสโดยตรงกับแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์
  • ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในช่องเก็บของในรถยนต์เนื่องจากมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน
  • ไม่ควรเก็บในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น ในกระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับ ทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย
 ข้อควรระวัง
http://dpc9.ddc.moph.go.th/napha9/images/bullet01.gif  ระยะเวลา การใช้ถุงยางอนามัยต้องใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งห้ามนำกลับมาใช้ใหม่และการใช้แต่ละชิ้นไม่ควรนานเกิน 30 นาทีเพราะหากใช้เป็นระยะเวลานานความแข็งแรงและความทนทานของถุงยางอนามัยอาจลดลงและทำให้ถุงยางอนามัยรั่วได้

http://dpc9.ddc.moph.go.th/napha9/images/bullet01.gif  การใช้ร่วมกับสารหล่อลื่น การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่นด้วย สารหล่อลื่นที่ใช้เป็นชนิดที่มีน้ำหรือซิลิโคนเป็นตัวละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วาย เจลลี่ ในกรณีที่ผู้ใช้พึงพอใจให้มีการหล่อลื่นเพิ่มขึ้นโดยใช้สารหล่อลื่นมาทาถุงยางอนามัยเพิ่มนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารหล่อลื่นประเภท น้ำมันพืช น้ำมันแร่ เช่น ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร ฯลฯ เนื่องจากน้ำมันจะไปทำปฏิกริยากับยาง และสามารถทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพและมีรูรั่วได้

http://dpc9.ddc.moph.go.th/napha9/images/bullet01.gif  การใช้ถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ ปัจจุบันพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดพิเศษเช่น มีการฝังมุก มีขนม้าแซม มีฟองน้ำ หรือมีขอบตาแพะ ถุงยางอนามัยเหล่านี้เป็นการลักลอบผลิตหรือนำเข้า โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ถุงยางอนามัยเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติในการคุมกำเนิดหรือป้องกันโรคแต่อย่างใด ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมุ่งหวังเพียงเพื่อสร้างความสุขและความพอใจให้แก่คู่นอนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงจะได้รับความเจ็บปวดระคายเคืองมากกว่า และอาจก่อให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น  จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้
ผู้ชายบางท่านมีเทคนิคพิเศษในการใช้ถุงยางอนามัย เช่น การใส่หลาย ๆ ชั้นเพื่อป้องกันโรคหรือเพิ่มขนาด ซึ่งจะไม่มีผลเสียใด ๆ และสามารถลดความเสี่ยงจากการแตกของถุงยางอนามัยได้ แต่สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขนาดนั้น จะไม่สามารถเพิ่มได้มากเท่าใดนัก เพราะถุงยางอนามัยแต่ละชิ้นบางมาก ๆ แต่จะทำให้เกิดความสิ้นเปลือง และความรู้สึกที่ได้รับลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำถุงยางอนามัยมาใส่หลาย ๆ ชั้นโดยซ้อนกันแบบให้มีลอนเป็นระยะ ๆการใช้ในลักษณะดังกล่าว เป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสมเช่นกันเนื่องจากจะทำให้เกิดลักษณะพื้นผิวที่ไม่เรียบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเจ็บปวดแก่เพศหญิงได้
แม้ว่าถุงยางอนามัยจะเป็นผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถใช้ในการป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพอย่างถูกต้องเหมาะสมก็มิใช่เป็นวิธีการป้องกันโรคเอดส์ได้ร้อยเปอร์เซนต์ การละเว้นจากการสำส่อนทางเพศจะเป็นความปลอดภัยและสามารถป้องกันโรคเอดส์ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

 ตู้หยอดเหรียญ
            ในปัจจุบันปัญหาโรคเอดส์  ยังส่งผลให้ตระหนักถึงการรณรงค์แก้ไขปัญหาเอดส์อย่างต่อเนื่อง  โครงการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย 100%  ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยของหน่วยงานทั้งภาครัฐและองค์กรหลายๆแห่งร่วมกันรณรงค์ป้องกันและมิติใหม่ในการรณรงค์ด้วยการติดตั้งตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยบริการตามสถานที่ต่างๆ  นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดหาถุงยางอนามัยโดยไม่จำกัดเวลา สถานที่ และลดความเขินอาย จากการเผชิญหน้ากับผู้ขายหรือการไปขอรับฟรีจากสถานบริการสาธารณสุข

ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ
ซึ่งจะมีบริการติดตั้งตามสถานที่ต่างๆนั้นจะปรากฎข้อความมีรักอย่างมั่นใจถุงยางอนามัยช่วยให้ท่านปลอดภัยจากการตั้งครรภ์,  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เอดส์” บนตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอันเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย  100% ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย

คุณสมบัติของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ

ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยเป็นเครื่องหยอดเหรียญและจำหน่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ  โดยใช้เหรียญ(10,5 บาท)หยอดแลกซื้อถุงยางอนามัย 1 กล่อง บรรจุ 2 ชิ้น  ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้



สามารถติดตั้งได้สะดวก  และเคลื่อนย้ายได้ง่าย
  • มีน้ำหนักเบากะทัดรัด
  • เครื่องทำด้วยวัสดุแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย

สามารถกำหนดการหยอดเหรียญได้ไม่น้อยกว่า 2 ชนิด
  • มีระบบเก็บเหรียญอัตโนมัติที่ไม่ได้ขนาดตามที่กำหนด

ปัญหาอุปสรรค ขณะนี้การติดตั้งตู้หยอดเหรียญ ได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้วประมาณกว่า 2,000 ตู้    ทั่วประเทศ  เนื่องจากประสพปัญหาในการรณรงค์และขอความร่วมมือ  ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในเฉพาะหน่วยงานสาธารณสุข  ในส่วนภาคเอกชนได้ประสบปัญหาต้นทุนในการประกอบการ   จำเป็นที่จะต้องจำหน่ายในราคา  10 บาท  ทำให้ไม่แพร่หลาย  ไม่เกิดความนิยมหรือจูงใจมากนัก และ  สถานประกอบการหลายแห่งเกรงว่าจะเสื่อมเสียภาพลักษณ์   ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมาก

ผลดีของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัย
  1. สามารถให้การสนับสนุนบริการถุงยางอนามัย
  2. ได้อย่างทั่วถึงในชุมชนท้องถิ่น/โรงแรม/สถานเริงรมณ์/สถานศึกษาอาชีวะ/หอพัก,อพาร์ทเม้นต์
  3. เป็นกลวิธีในการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่พึงประสงค์ โดยครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย สำหรับผู้มีรายได้น้อย
  4. สามารถประหยัดงบประมาณของรัฐที่จะจัดซื้อถุงยางอนามัย

บทสรุป

การมีตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยติดตั้งให้บริการตามโรงแรม  สถานเริงรมณ์   หอพัก  สถานศึกษาระดับอาชีวะฯ นับเป็นการเพิ่มโอกาสในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคเอดส์    ตลอดจนลดปัญหาการทำแท้งในกลุ่มวัยรุ่นได้  เพราะเป็นการแก้ปัญหาได้ในกรณี  ที่คู่เพศสัมพันธ์ตระหนักถึงการป้องกันตนเอง  ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย  และไม่อยู่ในสถานะที่จะไปหาซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่กล้าซื้อตามร้านขายยา  ร้านสะดวกซื้อ  ที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ขายโดยตรง  รวมทั้งผู้ซื้อถุงยางอนามัยที่มีรายได้น้อยจะได้เข้าถึงได้ง่าย เนื่องจากมีราคาถูกกว่า

1 ความคิดเห็น:

  1. ตารางการเลือกขนาดถุงยางอนามัยให้เหมาะสมกับขนาดอวัยวะเพศ

    เส้นรอบวง ขนาดถุงยาง
    ขณะแข็งตัว (มม.)
    (มม.) เล็กสุด ใหญ่สุด

    99 45 45
    100 45 45
    101 45 45
    102 45 45
    103 45 45
    104 45 47
    105 45 47
    106 45 47
    107 45 47
    108 45 49
    109 47 49
    110 47 50
    111 47 50
    112 47 50
    113 49 51
    114 49 51
    115 49 52
    116 49 52
    117 49 53
    118 50 53
    119 50 54
    120 50 54
    121 51 55
    122 51 55
    123 52 55
    124 52 56
    125 53 56
    126 53 57
    127 53 57
    128 54 58
    129 54 58
    130 55 58
    131 55 58
    132 55 60
    133 56 60
    134 56 60
    135 57 60
    136 57 60
    137 58 60
    138 58 60
    139 58 60
    140 60 60
    141 60 64
    142 60 64
    143 60 64
    144 60 64
    145 64 64
    146 64 64
    147 64 64
    148 64 64
    149 64 64
    150 64 64
    151 64 64
    152 64 69
    153 64 69
    154 69 69
    155 69 69
    156 69 69
    157 69 69
    158 69 69
    159 69 69
    160 69 69
    ที่มา: เรียบเรียงข้อมูลจาก Web site ต่างประเทศ เกี่ยวกับ Condom Size Chart

    ตอบลบ