วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย

จากการที่ผู้ป่วยโรคเอดส์ร้อยละ 84 ได้รับเชื้อเอดส์มาจากการมีเพศสัมพันธ์ มาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ จึงเน้นที่การรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เหมาะสม รักเดียว-ใจเดียว มีคู่เพศสัมพันธ์เพียงคนเดียว แต่ก็ยังคงมีการแพร่ระบาดทางเพศสัมพันธ์ในระดับสูง มาตรการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทางเพศสัมพันธ์จากการเฝ้าระวันพฤติกรรม เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ทางเพศสัมพันธ์ใน กลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 - 29 ปี พบว่าอัตราการใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสน้อยกว่าร้อยละ 30 ทั้งนี้เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีเจตคติต่อถุงยางอนามัยในเชิงลบ เช่น คิดว่าถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มั่นใจในคุณภาพของถุงยางอนามัยกลัวคู่นอนคิดว่าตัวเองติดเชื้อและไม่แน่ใจว่าถุงยางอนามัยจะป้อง กันโรคได้
แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมีความรู้เรื่องโรคเอดส์ และวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอดส์เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักถึงประโยชน์ของถุงยางอนามัย เพื่อให้ยอมรับการใช้ถุงยางอนามัยมากยิ่งขึ้น และเพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอดส์ให้น้อยลง โดยการเน้นความน่าเชื่อถือในคุณภาพและแสดงถึงความรอบคอบ และปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ตีตราว่าถุงยางอนามัยเป็นสัญญลักษณ์ของความสำส่อนทางเพศ ให้สื่อแสดงว่าถุงยางเป็น เครื่องใช้ที่บ่งบอกถึงความรอบคอบระมัดระวังรวมทั้งต้องส่งเสริมสนับสนุนและควบคุมตรวจสอบการผลิตถุงยางอนามัยให้มีมาตรฐานคุณภาพดีสร้างความมั่นใจต่อประชาชนผู้บริโภคว่ามีความปลอดภัยในการป้องกันการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์และเชื้อเอดส์ได้ถุงยางอนามัยหรือ Condom เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ   น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ๆ ใช้สวมอวัยวะเพศชายในขณะร่วมเพศ เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ถุง ปลอก เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย สุลต่าน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า condom,skin,sheath,prophylactics เป็นต้น



ขบวนการผลิตถุงยางอนามัยประกอบด้วย 6 ขั้นตอนคือ
  1. การผสม
  2. การขึ้นรูปถุงยางอนามัย
  3. การอบแห้งและทำให้ยางคงรูป
  4. การตรวจสอบหารอยรั่วด้วย ไฟฟ้า
  5. การเติมสารหล่อลื่นและการบรรจุถุงยางอนามัย
  6. การควบคุมคุณภาพถุงยางอนามัย
ซึ่งผู้ผลิตจะทำการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ภาครัฐยังได้ส่งเสริมมาตรการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2535 โดยการริเริ่มโครงการตรวจสอบคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนออกจำหน่าย โดยกำหนดให้ถุงยางอนามัยทุกรุ่นการผลิต หรือนำเข้าจะต้องส่งตัวอย่างให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดหากพบว่าได้มาตรฐานจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้ในกรณีที่คุณภาพไม่เข้ามาตรฐานจะต้องทำลายหรือส่งกลับประเทศผู้ผลิตทันทีมาตรการดังกล่าวจึงเป็นเสมือนการกลั่นกรองคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนถึงมือผู้บริโภคตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการที่จะผลิตหรือนำเข้าเฉพาะถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพเป็นที่น่าเชื่อถือแก่ผู้ใช้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดจะผ่านขั้นตอนการผลิต และการควบคุมคุณภาพเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและภาครัฐแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีเนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะเสื่อมสลายได้ตามระยะเวลา และสภาพการเก็บรักษา อาจมีส่วนทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนเวลาอันควรหรือก่อนวันสิ้นอายุที่ระบุไว้บนฉลากเมื่อนำถุงยางอนามัยไปใช้งานจะสามารถใช้คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคได้แน่นอนหรือไม่ มิได้ขึ้นกับคุณภาพของถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ว่าใช้ถูกต้องหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง หรืออาจแตกขณะใช้ สาเหตุเนื่องจากบางครั้งผู้ใช้อาจละเลย หรือมิได้คำนึงถึงเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งได้แก่ การเลือกซื้อ การเก็บรักษาและวิธีการใช้หากผู้ใช้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับคุมกำเนิดและป้องกันโรค ตลอดจนสามารถทำให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจ และมีทัศนคติที่ดีต่อถุงยางอนามัย


ชนิดของถุงยางอนามัย
  • ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ
  • การเลือกซื้อควรสังเกตดู ว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ซื้อควรสังเกตข้อความอื่น ๆ ว่าครบถ้วน และตรงกับความต้องการหรือไม่ เช่น ชื่อผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่น หรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ


ประเภทของถุงยางอนามัย
       ถุงยางอนามัยแบ่งประเภทตามขนาดความกว้าง ( ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางนามัย ) เป็น 13 ขนาด คือ 44 , 45 , 46 , 47 , 48 , 49 ,50 , 51 ,52 , 53 , 54 , 55 และ 56 มิลลิเมตร (มม.) ขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. มม. และ 52 มม.จากการสำรวจพบว่าปกติชายไทยจะใช้ถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. หากเป็นชายไทยรุ่นใหม่ ขนาด 52 มม. จะเหมาะสมกว่า การเลือกซื้อคงจะต้องซื้อในขนาดที่เคยใช้สวมใส่มาแล้ว หากมีขนาดใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่อยากใช้และมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อถุงยางอนามัย


ถุงยางอนามัย ถุงยางชาย
ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกได้หลายชื่อ บางคนอาจจะเรียก ถุง ปลอก เสื้อเกราะ เสื้อกันฝน ฯลฯ ก็เป็นอันเข้าใจกันว่าหมายถึงถุงยางอนามัยชายนั่นเอง ถุงยางอนามัยโดยทั่วไปทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น อาจมีผนังขนาน มีหลายสีให้เลือก และมีหลายแบบ ทั้งแบบปลายเรียบมน ปลายเป็นกระเปาะ หรือเป็นติ่งยื่นออกมา แบบชโลมด้วยสารหล่อลื่น และแบบที่เคลือบน้ำยาฆ่าตัวอสุจิ ถ้าแบ่งตามลักษณะผิวจะมีทั้งแบบผิวเรียบและผิวไม่เรียบ ถ้าแบ่งตามขนาดความกว้างก็จะมีด้วยกันถึง 13 ขนาด ตั้งแต่ขนาด 44 จนถึง 56 มิลลิเมตร ในประเทศไทยขณะนี้จำหน่ายขนาด 49 และ 52 มิลลิเมตร
เพื่อความมั่นใจมากขึ้นสำหรับการคุมกำเนิดและป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงได้มีการนำสารที่เรียกว่า "โนน็อกซินอล"(nonoxynol) ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้ออสุจิเคลือบลงบนถุงยางอนามัย เพื่อความปลอดภัย 2 ขั้นตอน ถุงยางอนามัยเคลือบสารโนน็อกซินอล 11 (Condom with Nonoxynol-11) หรือ โนน็อกซินอล-11 สปอร์มิไซด์ หรือเรียกย่อ ๆว่า เอ็น -11 (N-11) คือสารฆ่าตัวอสุจิที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการคุมกำเนิดเมื่อนำ สารนี้มาเคลือบบนถุงยางจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยหยุดยั้งไม่ให้เชื้ออสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้



ข้อดีของถุงยางอนามัย
  • นอกจากใช้ในการคุมกำเนิดแล้วยังใช้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ กามโรค
  • ใช้ได้โดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ ปลอดภัย ไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียงเห็นผลง่ายและป้องกันได้ทันที
  • พกสะดวก น้ำหนักเบา หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลย
  • ช่วยยืดระยะเวลาการหลั่งน้ำอสุจิของฝ่ายชายได้ และไม่มีผลเสียต่อการเจริญพันธุ์เมื่อเลิกใช้
ข้อเสีย
  • ต้องใส่ก่อนร่วมเพศจึงเกิดการขัดจังหวะในการร่วมเพศเพราะต้องสวมถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นผู้ใส่ให้จะช่วยให้เกิดความรู้สึกดีขึ้น
  • ความรู้สึกในการสัมผัสการร่วมเพศตามธรรมชาติอาจลดลงบ้าง แม้ว่าถุงยางจะบางมาก ฝ่ายหญิงอาจจะไม่ได้รับรู้ว่ามีการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด
  • อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ หากถุงยางอนามัยแตก

ต้องมีแหล่งบริการถุงยางให้เพียงพอ มีการจัดเก็บที่เหมาะสม ไม่อยู่ในที่ร้อนจัดหรือมีแสงแดดส่องถึง   และเมื่อใช้เสร็จแล้วเป็นภาระในการทิ้งถุงยางที่เหมาะสม คุณผู้ชายบางคนไม่ค่อยที่จะชอบใส่ถุงยางอนามัย อาจจะมีความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติ หรืออาจจะมีความเชื่อและเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง บางคนคิดว่าถ้าใส่ถุงยางอนามัยฝ่ายหญิงจะคิดว่าตัวเองสกปรก หรือใช้สำหรับหญิงบริการเท่านั้น หรือไม่ใส่เพราะยังไม่ต้องการคุมกำเนิด และไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายติดเชื้อเอดส์ ไม่กล้าซื้อถุงยางอนามัยเพราะสังคมไทยยังไม่ยอมรับ ซึ่งความจริงแล้วถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติเพราะผลิตให้บางลงกว่าเดิมถึง 0.03 มิลลิเมตร นอกจากนี้แล้วการเลือกสีของถุงยางอนามัยให้ถูกต้องตามรสนิยมอาจช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ ถุงยางนั้นสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป วางอยู่ในที่ที่หยิบง่าย สามารถเลือกแบบและยี่ห้อได้ ให้นึกว่าถุงยางอนามัยคือของใช้ในชีวิตประจำวันชนิดหนึ่ง จะทำให้เลือกซื้อได้อย่างไม่เคอะเขิน
 
ถุงยางอนามัยเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และมีการรณรงค์ให้ใช้กันอย่างกว้างขวาง ถุงยางอนามัยจึงได้มีการพัฒนาและผลิตแบบต่าง ๆ เพื่อสนองรสนิยมและความต้องการที่หลากหลาย เช่น ทำให้บางลงและเหนียวขึ้น เพิ่มสีสันให้สวยงามน่าใช้ ทำเป็นสีเรืองแสงให้สว่างเรืองในที่มืดบางชนิดแทนที่จะเป็นถุงเรียบ ๆ ก็จะทำเป็นส่วนโค้ง ส่วนเว้า เป็นลอนหรือปุ่มเล็ก ๆ และยังผลิตถุงยางชนิดมีกลิ่นและรสต่าง ๆ เช่นกลิ่นผลไม้ กล้วยหอม สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ทุเรียน ช็อกโกแลต และรสมินท์ เป็นต้น


 

ถุงยางอนามัย ถุงนางหญิง
ถุงยางอนามัยสำหรับหญิง มีลักษณะเป็นถุงโปร่งแสง ทรงกระบอก ปลายมนทำด้วย โพลียูรีเธน ปลายเปิดของถุงยางมีขอบลักษณะคล้ายห่วงติดอยู่เรียกว่า ขอบนอก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร ภายในก้นถุงซึ่งเป็นปลายตันจะมีห่วงอีกอันหนึ่งวางอยู่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เซนติเมตร เรียกว่า ขอบใน ซึ่งสามารถถอดออกได้ ขอบในจะใช้สอดถุงยางเข้าไปในช่องคลอด โดยบีบขอบในแล้วสอดเข้าไปจนสุดซึ่งจะเข้าไปครอบบนปากมดลูก และห่วงนี้จะยึดถุงยางไว้ไม่ให้หลุดออกมาในขณะที่ห่วงนอกที่เป็นขอบถุงยางจะช่วยให้ถุงยางแผ่ติดตรงบริเวณปากช่องคลอด สารโพลียูรีเธนมีความเหนียวทนทานมีความนุ่มนวลและบางกว่าชนิดที่ทำด้วยยางลาเท็กซ์จึงทำให้แนบกับผิวช่องคลอดได้ดีกว่าถุงยางอนามัยสตรี จะไม่มีน้ำยาหล่อลื่นชโลมมาด้วย จะใช้แยกต่างหากซึ่งทำให้ใช้ได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร ผู้ใช้จะต้องจัดหาสารหล่อลื่นเอง ควรใช้ชนิดที่ละลายน้ำเช่น เค-วาย เจลลี่ หรืออาจเป็นชนิดที่เคลือบด้วยน้ำยาฆ่าอสุจิ การสอดใส่ถุงยางอนามัยสตรีทำได้หลายวิธีโดยให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้ใส่เองหรือให้ฝ่ายชายเป็นผู้ใส่ให้โดยบีบห่วงที่ปลายถุงและสอดเข้าไปในช่องคลอด ถอดใส่ห่วงนอกแล้วสวมเข้ากับอวัยวะเพศชาย คล้ายถุงยางอนามัยชาย

ข้อดี
ผู้หญิงสามารถป้องกันตนเองได้ สามารถสอดใส่ไว้ก่อนร่วมเพศได้ ขนาดของถุงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างพอไม่ทำให้ฝ่ายชายอึดอัด มีความเหนียวและทนทานดี หลังการร่วมเพศแล้วฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องรีบถอนอวัยวะเพศออกเพื่อถอดถุงยางอนามัยทันที ยังคงสามารถสัมผัสใกล้ชิดกันได้นาน ๆ

ข้อเสีย
การสอดใส่ถุงยางเข้าไปในช่องคลอดหญิงอายุน้อยบางคนยังรับไม่ได้ หรือมีห่วงอยู่ที่ขอบถุงยางซึ่งโผล่อกมานอกปากช่องคลอด ทำให้คู่นอนเสียความรู้สึกทางเพศ มีรูปร่างเทอะทะไม่น่าใช้ ผู้ใช้บางรายอาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ นอกจากนี้แล้วราคายังแพงกว่าถุงยางอนามัยชาย ถุงยางอนามัยชายจึงได้รับความนิยมมากกว่า

การเลือกซื้อถุงยางอนามัย

การเลือกซื้อถุงยางอนามัยมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้

อ่านฉลากก่อนซื้อ จะทำให้ทราบว่า ถุงยางอนามัยดังกล่าว ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง มีความเหมาะสม ตรงกับความต้องการหรือไม่ ข้อความสำคัญที่ควรพิจารณาจากฉลากได้แก่
 
เครื่องหมาย อย.
เป็นการแสดงว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือยัง โดยสังเกตข้อความที่แสดง ตามตัวอย่างด้านล่าง ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ที่ อย. ผ. ../ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการผลิตในประเทศ หรือ อย. น…/ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการนำเข้า ฯ


เครื่องหมาย อย. ทื่แสดงบนภาชนะบรรจุ
วันหมดอายุ การกำหนดวันหมดอายุของถุงยางอนามัย ผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนดเองตามความเหมาะสมผู้ซื้อสามารถสังเกตว่าถุงยางอนามัยหมดอายุหรือไม่ โดยการสังเกตคำว่า  "หมดอายุ" หรือ "ต้องใช้ก่อน" ซึ่งจะแสดง เดือน และ ปี ที่หมดอายุไว้ทั้งบนฟอยล์บรรจุหนึ่งชิ้นและบนซองหรือกล่องย่อย ดังตัวอย่างข้อความที่มีการแสดง
  • ต้องใช้ก่อน 6/2542" เป็นการแสดงวันหมดอายุโดยใช้คำที่เข้าใจง่าย และตรงไปตรงมา ซึ่งหมายความว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวจะหมดอายุ หรือไม่ควรใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมิถุนายน 2542 เป็นต้นไป
  • หมดอายุ 6/2542" การแสดงข้อความโดยใช้คำว่าหมดอายุ เมื่ออ่านผ่าน ๆ แล้ว อาจไม่มีข้อสงสัยอะไร แต่จะพบว่ามีความเข้าใจเป็น 2 กลุ่ม

    กลุ่มแรก มีความเข้าใจว่าเดือนมิถุนายน 2542 ถุงยางอนามัยยังสามารถใช้ได้ และจะหมดอายุตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542
  • กลุ่มที่ 2 เข้าใจว่าถุงยางอนามัยดังกล่าว หมดอายุตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542จากคำนิยามคำว่า "วันหมดอายุ" หมายความถึง วันกำหนดที่แจ้งบนฉลากสำหรับการผลิตแต่ละครั้ง ซึ่งแสดงว่าในช่วงระยะเวลาก่อนวันนั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังคงมีคุณภาพมาตรฐานตามข้อกำหนด วันเวลาดังกล่าว ได้จากการรวมอายุของผลิตภัณฑ์ต่อจากวันที่ผลิตแต่ละครั้ง วันสิ้นอายุแจ้งเป็น เดือน ปี ท่านั้น หมายความว่า ลิตภัณฑ์ยังคงมีคุณภาพตามข้อกำหนดจนถึงวันสุดท้าย ของเดือนนั้นดังนั้นในกรณีที่มีการแสดงข้อความว่า "หมดอายุ 6/2542" ความหมายที่ถูกต้อง คือ ถุงยางอนามัยดังกล่าวมีอายุการใช้งานจนวันที่ 30 เดือนมิถุนายน 542 หรือไม่ควรใช้ถุงยางอนามัยดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นไป

การเก็บรักษา
ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้ด้วยตัวของมันเอง เมื่อระยะเวลาผ่านไป แต่จะเสื่อมสภาพได้มากขึ้นหากมีการเก็บรักษาอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนด จึงควรมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้
  • ไม่ควรเก็บรักษาในที่มีความชื้นสูง ในที่ร้อนหรือสัมผัสโดยตรงกับแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์
  • ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในช่องเก็บของในรถยนต์เนื่องจากมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน
  • ไม่ควรเก็บในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น ในกระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับ ทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย
 ข้อควรระวัง
ระยะเวลา การใช้ถุงยางอนามัยต้องใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งห้ามนำกลับมาใช้ใหม่และการใช้แต่ละชิ้นไม่ควรนานเกิน 30 นาทีเพราะหากใช้เป็นระยะเวลานานความแข็งแรงและความทนทานของถุงยางอนามัยอาจลดลงและทำให้ถุงยางอนามัยรั่วได้

การใช้ร่วมกับสารหล่อลื่น การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่นด้วย สารหล่อลื่นที่ใช้เป็นชนิดที่มีน้ำหรือซิลิโคนเป็นตัวละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วาย เจลลี่ ในกรณีที่ผู้ใช้พึงพอใจให้มีการหล่อลื่นเพิ่มขึ้นโดยใช้สารหล่อลื่นมาทาถุงยางอนามัยเพิ่มนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารหล่อลื่นประเภท น้ำมันพืช น้ำมันแร่ เช่น ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร ฯลฯ เนื่องจากน้ำมันจะไปทำปฏิกริยากับยาง และสามารถทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพและมีรูรั่วได้

    การใช้ถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ ปัจจุบันพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดพิเศษเช่น มีการฝังมุก มีขนม้าแซม มีฟองน้ำ หรือมีขอบตาแพะ ถุงยางอนามัยเหล่านี้เป็นการลักลอบผลิตหรือนำเข้า โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ถุงยางอนามัยเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติในการคุมกำเนิดหรือป้องกันโรคแต่อย่างใด ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมุ่งหวังเพียงเพื่อสร้างความสุขและความพอใจให้แก่คู่นอนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงจะได้รับความเจ็บปวดระคายเคืองมากกว่า และอาจก่อให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น  จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้


ผู้ชายบางท่านมีเทคนิคพิเศษในการใช้ถุงยางอนามัย เช่น การใส่หลาย ๆ ชั้นเพื่อป้องกันโรคหรือเพิ่มขนาด ซึ่งจะไม่มีผลเสียใด ๆ และสามารถลดความเสี่ยงจากการแตกของถุงยางอนามัยได้ แต่สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขนาดนั้น จะไม่สามารถเพิ่มได้มากเท่าใดนัก เพราะถุงยางอนามัยแต่ละชิ้นบางมาก ๆ แต่จะทำให้เกิดความสิ้นเปลือง และความรู้สึกที่ได้รับลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำถุงยางอนามัยมาใส่หลาย ๆ ชั้นโดยซ้อนกันแบบให้มีลอนเป็นระยะ ๆการใช้ในลักษณะดังกล่าว เป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสมเช่นกันเนื่องจากจะทำให้เกิดลักษณะพื้นผิวที่ไม่เรียบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเจ็บปวดแก่เพศหญิงได้
แม้ว่าถุงยางอนามัยจะเป็นผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถใช้ในการป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพอย่างถูกต้องเหมาะสมก็มิใช่เป็นวิธีการป้องกันโรคเอดส์ได้ร้อยเปอร์เซนต์ การละเว้นจากการสำส่อนทางเพศจะเป็นความปลอดภัยและสามารถป้องกันโรคเอดส์ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

 ตู้หยอดเหรียญ
            ในปัจจุบันปัญหาโรคเอดส์  ยังส่งผลให้ตระหนักถึงการรณรงค์แก้ไขปัญหาเอดส์อย่างต่อเนื่อง  โครงการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย 100%  ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยของหน่วยงานทั้งภาครัฐและองค์กรหลายๆแห่งร่วมกันรณรงค์ป้องกันและมิติใหม่ในการรณรงค์ด้วยการติดตั้งตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยบริการตามสถานที่ต่างๆ  นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดหาถุงยางอนามัยโดยไม่จำกัดเวลา สถานที่ และลดความเขินอาย จากการเผชิญหน้ากับผู้ขายหรือการไปขอรับฟรีจากสถานบริการสาธารณสุข

ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ
ซึ่งจะมีบริการติดตั้งตามสถานที่ต่างๆนั้นจะปรากฎข้อความมีรักอย่างมั่นใจถุงยางอนามัยช่วยให้ท่านปลอดภัยจากการตั้งครรภ์,  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เอดส์” บนตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอันเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย  100% ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย

คุณสมบัติของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ

ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยเป็นเครื่องหยอดเหรียญและจำหน่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ  โดยใช้เหรียญ(10,5 บาท)หยอดแลกซื้อถุงยางอนามัย 1 กล่อง บรรจุ 2 ชิ้น  ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้



สามารถติดตั้งได้สะดวก  และเคลื่อนย้ายได้ง่าย
  • มีน้ำหนักเบากะทัดรัด
  • เครื่องทำด้วยวัสดุแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย

สามารถกำหนดการหยอดเหรียญได้ไม่น้อยกว่า 2 ชนิด
  • มีระบบเก็บเหรียญอัตโนมัติที่ไม่ได้ขนาดตามที่กำหนด

ปัญหาอุปสรรค ขณะนี้การติดตั้งตู้หยอดเหรียญ ได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้วประมาณกว่า 2,000 ตู้    ทั่วประเทศ  เนื่องจากประสพปัญหาในการรณรงค์และขอความร่วมมือ  ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในเฉพาะหน่วยงานสาธารณสุข  ในส่วนภาคเอกชนได้ประสบปัญหาต้นทุนในการประกอบการ   จำเป็นที่จะต้องจำหน่ายในราคา  10 บาท  ทำให้ไม่แพร่หลาย  ไม่เกิดความนิยมหรือจูงใจมากนัก และ  สถานประกอบการหลายแห่งเกรงว่าจะเสื่อมเสียภาพลักษณ์   ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมาก

ผลดีของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัย
  1. สามารถให้การสนับสนุนบริการถุงยางอนามัย
  2. ได้อย่างทั่วถึงในชุมชนท้องถิ่น/โรงแรม/สถานเริงรมณ์/สถานศึกษาอาชีวะ/หอพัก,อพาร์ทเม้นต์
  3. เป็นกลวิธีในการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่พึงประสงค์ โดยครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย สำหรับผู้มีรายได้น้อย
  4. สามารถประหยัดงบประมาณของรัฐที่จะจัดซื้อถุงยางอนามัย

บทสรุป

การมีตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยติดตั้งให้บริการตามโรงแรม  สถานเริงรมณ์   หอพัก  สถานศึกษาระดับอาชีวะฯ นับเป็นการเพิ่มโอกาสในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคเอดส์    ตลอดจนลดปัญหาการทำแท้งในกลุ่มวัยรุ่นได้  เพราะเป็นการแก้ปัญหาได้ในกรณี  ที่คู่เพศสัมพันธ์ตระหนักถึงการป้องกันตนเอง  ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย  และไม่อยู่ในสถานะที่จะไปหาซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่กล้าซื้อตามร้านขายยา  ร้านสะดวกซื้อ  ที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ขายโดยตรง  รวมทั้งผู้ซื้อถุงยางอนามัยที่มีรายได้น้อยจะได้เข้าถึงได้ง่าย เนื่องจากมีราคาถูกกว่า

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

การเลือกใช้ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย


      จากการที่ผู้ป่วยโรคเอดส์ร้อยละ 84 ได้รับเชื้อเอดส์มาจากการมีเพศสัมพันธ์ มาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ จึงเน้นที่การรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เหมาะสม รักเดียว-ใจเดียว มีคู่เพศสัมพันธ์เพียงคนเดียว แต่ก็ยังคงมีการแพร่ระบาดทางเพศสัมพันธ์ในระดับสูง มาตรการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทางเพศสัมพันธ์จากการเฝ้าระวันพฤติกรรม เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ทางเพศสัมพันธ์ใน กลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 - 29 ปี พบว่าอัตราการใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสน้อยกว่าร้อยละ 30 ทั้งนี้เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีเจตคติต่อถุงยางอนามัยในเชิงลบ เช่น คิดว่าถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มั่นใจในคุณภาพของถุงยางอนามัยกลัวคู่นอนคิดว่าตัวเองติดเชื้อและไม่แน่ใจว่าถุงยางอนามัยจะป้อง กันโรคได้
แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมีความรู้เรื่องโรคเอดส์ และวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอดส์เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักถึงประโยชน์ของถุงยางอนามัย เพื่อให้ยอมรับการใช้ถุงยางอนามัยมากยิ่งขึ้น และเพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอดส์ให้น้อยลง โดยการเน้นความน่าเชื่อถือในคุณภาพและแสดงถึงความรอบคอบ และปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ตีตราว่าถุงยางอนามัยเป็นสัญญลักษณ์ของความสำส่อนทางเพศ ให้สื่อแสดงว่าถุงยางเป็น เครื่องใช้ที่บ่งบอกถึงความรอบคอบระมัดระวังรวมทั้งต้องส่งเสริมสนับสนุนและควบคุมตรวจสอบการผลิตถุงยางอนามัยให้มีมาตรฐานคุณภาพดีสร้างความมั่นใจต่อประชาชนผู้บริโภคว่ามีความปลอดภัยในการป้องกันการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์และเชื้อเอดส์ได้ถุงยางอนามัยหรือ Condom เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ   น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ๆ ใช้สวมอวัยวะเพศชายในขณะร่วมเพศ เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ถุง ปลอก เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย สุลต่าน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า condom,skin,sheath,prophylactics เป็นต้น


ขบวนการผลิตถุงยางอนามัยประกอบด้วย 6 ขั้นตอนคือ
  1. การผสม
  2. การขึ้นรูปถุงยางอนามัย
  3. การอบแห้งและทำให้ยางคงรูป
  4. การตรวจสอบหารอยรั่วด้วย ไฟฟ้า
  5. การเติมสารหล่อลื่นและการบรรจุถุงยางอนามัย
  6. การควบคุมคุณภาพถุงยางอนามัย
ซึ่งผู้ผลิตจะทำการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ภาครัฐยังได้ส่งเสริมมาตรการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2535 โดยการริเริ่มโครงการตรวจสอบคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนออกจำหน่าย โดยกำหนดให้ถุงยางอนามัยทุกรุ่นการผลิต หรือนำเข้าจะต้องส่งตัวอย่างให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดหากพบว่าได้มาตรฐานจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้ในกรณีที่คุณภาพไม่เข้ามาตรฐานจะต้องทำลายหรือส่งกลับประเทศผู้ผลิตทันทีมาตรการดังกล่าวจึงเป็นเสมือนการกลั่นกรองคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนถึงมือผู้บริโภคตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการที่จะผลิตหรือนำเข้าเฉพาะถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพเป็นที่น่าเชื่อถือแก่ผู้ใช้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดจะผ่านขั้นตอนการผลิต และการควบคุมคุณภาพเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและภาครัฐแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีเนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะเสื่อมสลายได้ตามระยะเวลา และสภาพการเก็บรักษา อาจมีส่วนทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนเวลาอันควรหรือก่อนวันสิ้นอายุที่ระบุไว้บนฉลากเมื่อนำถุงยางอนามัยไปใช้งานจะสามารถใช้คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคได้แน่นอนหรือไม่ มิได้ขึ้นกับคุณภาพของถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ว่าใช้ถูกต้องหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง หรืออาจแตกขณะใช้ สาเหตุเนื่องจากบางครั้งผู้ใช้อาจละเลย หรือมิได้คำนึงถึงเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งได้แก่ การเลือกซื้อ การเก็บรักษาและวิธีการใช้หากผู้ใช้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับคุมกำเนิดและป้องกันโรค ตลอดจนสามารถทำให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจ และมีทัศนคติที่ดีต่อถุงยางอนามัย

ชนิดของถุงยางอนามัย
  • ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ
  • การเลือกซื้อควรสังเกตดู ว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ซื้อควรสังเกตข้อความอื่น ๆ ว่าครบถ้วน และตรงกับความต้องการหรือไม่ เช่น ชื่อผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่น หรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ

ประเภทของถุงยางอนามัย
        ถุงยางอนามัยแบ่งประเภทตามขนาดความกว้าง ( ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางนามัย ) เป็น 13 ขนาด คือ 44 , 45 , 46 , 47 , 48 , 49 ,50 , 51 ,52 , 53 , 54 , 55 และ 56 มิลลิเมตร (มม.) ขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. มม. และ 52 มม.จากการสำรวจพบว่าปกติชายไทยจะใช้ถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. หากเป็นชายไทยรุ่นใหม่ ขนาด 52 มม. จะเหมาะสมกว่า การเลือกซื้อคงจะต้องซื้อในขนาดที่เคยใช้สวมใส่มาแล้ว หากมีขนาดใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่อยากใช้และมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อถุงยางอนามัย


ถุงยางอนามัย ถุงยางชาย
       ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกได้หลายชื่อ บางคนอาจจะเรียก ถุง ปลอก เสื้อเกราะ เสื้อกันฝน ฯลฯ ก็เป็นอันเข้าใจกันว่าหมายถึงถุงยางอนามัยชายนั่นเอง ถุงยางอนามัยโดยทั่วไปทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น อาจมีผนังขนาน มีหลายสีให้เลือก และมีหลายแบบ ทั้งแบบปลายเรียบมน ปลายเป็นกระเปาะ หรือเป็นติ่งยื่นออกมา แบบชโลมด้วยสารหล่อลื่น และแบบที่เคลือบน้ำยาฆ่าตัวอสุจิ ถ้าแบ่งตามลักษณะผิวจะมีทั้งแบบผิวเรียบและผิวไม่เรียบ ถ้าแบ่งตามขนาดความกว้างก็จะมีด้วยกันถึง 13 ขนาด ตั้งแต่ขนาด 44 จนถึง 56 มิลลิเมตร ในประเทศไทยขณะนี้จำหน่ายขนาด 49 และ 52 มิลลิเมตร
เพื่อความมั่นใจมากขึ้นสำหรับการคุมกำเนิดและป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงได้มีการนำสารที่เรียกว่า "โนน็อกซินอล"(nonoxynol) ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้ออสุจิเคลือบลงบนถุงยางอนามัย เพื่อความปลอดภัย 2 ขั้นตอน ถุงยางอนามัยเคลือบสารโนน็อกซินอล 11 (Condom with Nonoxynol-11) หรือ โนน็อกซินอล-11 สปอร์มิไซด์ หรือเรียกย่อ ๆว่า เอ็น -11 (N-11) คือสารฆ่าตัวอสุจิที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการคุมกำเนิดเมื่อนำ สารนี้มาเคลือบบนถุงยางจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยหยุดยั้งไม่ให้เชื้ออสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้



ข้อดีของถุงยางอนามัย
  • นอกจากใช้ในการคุมกำเนิดแล้วยังใช้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ กามโรค
  • ใช้ได้โดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ ปลอดภัย ไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียงเห็นผลง่ายและป้องกันได้ทันที
  • พกสะดวก น้ำหนักเบา หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลย
  • ช่วยยืดระยะเวลาการหลั่งน้ำอสุจิของฝ่ายชายได้ และไม่มีผลเสียต่อการเจริญพันธุ์เมื่อเลิกใช้
ข้อเสีย
  • ต้องใส่ก่อนร่วมเพศจึงเกิดการขัดจังหวะในการร่วมเพศเพราะต้องสวมถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นผู้ใส่ให้จะช่วยให้เกิดความรู้สึกดีขึ้น
  • ความรู้สึกในการสัมผัสการร่วมเพศตามธรรมชาติอาจลดลงบ้าง แม้ว่าถุงยางจะบางมาก ฝ่ายหญิงอาจจะไม่ได้รับรู้ว่ามีการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด
  • อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ หากถุงยางอนามัยแตก

ต้องมีแหล่งบริการถุงยางให้เพียงพอ มีการจัดเก็บที่เหมาะสม ไม่อยู่ในที่ร้อนจัดหรือมีแสงแดดส่องถึง   และเมื่อใช้เสร็จแล้วเป็นภาระในการทิ้งถุงยางที่เหมาะสม คุณผู้ชายบางคนไม่ค่อยที่จะชอบใส่ถุงยางอนามัย อาจจะมีความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติ หรืออาจจะมีความเชื่อและเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง บางคนคิดว่าถ้าใส่ถุงยางอนามัยฝ่ายหญิงจะคิดว่าตัวเองสกปรก หรือใช้สำหรับหญิงบริการเท่านั้น หรือไม่ใส่เพราะยังไม่ต้องการคุมกำเนิด และไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายติดเชื้อเอดส์ ไม่กล้าซื้อถุงยางอนามัยเพราะสังคมไทยยังไม่ยอมรับ ซึ่งความจริงแล้วถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติเพราะผลิตให้บางลงกว่าเดิมถึง 0.03 มิลลิเมตร นอกจากนี้แล้วการเลือกสีของถุงยางอนามัยให้ถูกต้องตามรสนิยมอาจช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ ถุงยางนั้นสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป วางอยู่ในที่ที่หยิบง่าย สามารถเลือกแบบและยี่ห้อได้ ให้นึกว่าถุงยางอนามัยคือของใช้ในชีวิตประจำวันชนิดหนึ่ง จะทำให้เลือกซื้อได้อย่างไม่เคอะเขิน
 
ถุงยางอนามัยเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และมีการรณรงค์ให้ใช้กันอย่างกว้างขวาง ถุงยางอนามัยจึงได้มีการพัฒนาและผลิตแบบต่าง ๆ เพื่อสนองรสนิยมและความต้องการที่หลากหลาย เช่น ทำให้บางลงและเหนียวขึ้น เพิ่มสีสันให้สวยงามน่าใช้ ทำเป็นสีเรืองแสงให้สว่างเรืองในที่มืดบางชนิดแทนที่จะเป็นถุงเรียบ ๆ ก็จะทำเป็นส่วนโค้ง ส่วนเว้า เป็นลอนหรือปุ่มเล็ก ๆ และยังผลิตถุงยางชนิดมีกลิ่นและรสต่าง ๆ เช่นกลิ่นผลไม้ กล้วยหอม สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ทุเรียน ช็อกโกแลต และรสมินท์ เป็นต้น


 

ถุงยางอนามัย ถุงนางหญิง
         ถุงยางอนามัยสำหรับหญิง มีลักษณะเป็นถุงโปร่งแสง ทรงกระบอก ปลายมนทำด้วย โพลียูรีเธน ปลายเปิดของถุงยางมีขอบลักษณะคล้ายห่วงติดอยู่เรียกว่า ขอบนอก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร ภายในก้นถุงซึ่งเป็นปลายตันจะมีห่วงอีกอันหนึ่งวางอยู่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เซนติเมตร เรียกว่า ขอบใน ซึ่งสามารถถอดออกได้ ขอบในจะใช้สอดถุงยางเข้าไปในช่องคลอด โดยบีบขอบในแล้วสอดเข้าไปจนสุดซึ่งจะเข้าไปครอบบนปากมดลูก และห่วงนี้จะยึดถุงยางไว้ไม่ให้หลุดออกมาในขณะที่ห่วงนอกที่เป็นขอบถุงยางจะช่วยให้ถุงยางแผ่ติดตรงบริเวณปากช่องคลอด สารโพลียูรีเธนมีความเหนียวทนทานมีความนุ่มนวลและบางกว่าชนิดที่ทำด้วยยางลาเท็กซ์จึงทำให้แนบกับผิวช่องคลอดได้ดีกว่าถุงยางอนามัยสตรี จะไม่มีน้ำยาหล่อลื่นชโลมมาด้วย จะใช้แยกต่างหากซึ่งทำให้ใช้ได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร ผู้ใช้จะต้องจัดหาสารหล่อลื่นเอง ควรใช้ชนิดที่ละลายน้ำเช่น เค-วาย เจลลี่ หรืออาจเป็นชนิดที่เคลือบด้วยน้ำยาฆ่าอสุจิ การสอดใส่ถุงยางอนามัยสตรีทำได้หลายวิธีโดยให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้ใส่เองหรือให้ฝ่ายชายเป็นผู้ใส่ให้โดยบีบห่วงที่ปลายถุงและสอดเข้าไปในช่องคลอด ถอดใส่ห่วงนอกแล้วสวมเข้ากับอวัยวะเพศชาย คล้ายถุงยางอนามัยชาย

ข้อดี
ผู้หญิงสามารถป้องกันตนเองได้ สามารถสอดใส่ไว้ก่อนร่วมเพศได้ ขนาดของถุงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างพอไม่ทำให้ฝ่ายชายอึดอัด มีความเหนียวและทนทานดี หลังการร่วมเพศแล้วฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องรีบถอนอวัยวะเพศออกเพื่อถอดถุงยางอนามัยทันที ยังคงสามารถสัมผัสใกล้ชิดกันได้นาน ๆ

ข้อเสีย
การสอดใส่ถุงยางเข้าไปในช่องคลอดหญิงอายุน้อยบางคนยังรับไม่ได้ หรือมีห่วงอยู่ที่ขอบถุงยางซึ่งโผล่อกมานอกปากช่องคลอด ทำให้คู่นอนเสียความรู้สึกทางเพศ มีรูปร่างเทอะทะไม่น่าใช้ ผู้ใช้บางรายอาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ นอกจากนี้แล้วราคายังแพงกว่าถุงยางอนามัยชาย ถุงยางอนามัยชายจึงได้รับความนิยมมากกว่า

การเลือกซื้อถุงยางอนามัย

การเลือกซื้อถุงยางอนามัยมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้

อ่านฉลากก่อนซื้อ จะทำให้ทราบว่า ถุงยางอนามัยดังกล่าว ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง มีความเหมาะสม ตรงกับความต้องการหรือไม่ ข้อความสำคัญที่ควรพิจารณาจากฉลากได้แก่
 
เครื่องหมาย อย.
เป็นการแสดงว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือยัง โดยสังเกตข้อความที่แสดง ตามตัวอย่างด้านล่าง ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ที่ อย. ผ. ../ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการผลิตในประเทศ หรือ อย. น…/ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการนำเข้า ฯ


เครื่องหมาย อย. ทื่แสดงบนภาชนะบรรจุ
วันหมดอายุ การกำหนดวันหมดอายุของถุงยางอนามัย ผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนดเองตามความเหมาะสมผู้ซื้อสามารถสังเกตว่าถุงยางอนามัยหมดอายุหรือไม่ โดยการสังเกตคำว่า  "หมดอายุ" หรือ "ต้องใช้ก่อน" ซึ่งจะแสดง เดือน และ ปี ที่หมดอายุไว้ทั้งบนฟอยล์บรรจุหนึ่งชิ้นและบนซองหรือกล่องย่อย ดังตัวอย่างข้อความที่มีการแสดง
  • ต้องใช้ก่อน 6/2542" เป็นการแสดงวันหมดอายุโดยใช้คำที่เข้าใจง่าย และตรงไปตรงมา ซึ่งหมายความว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวจะหมดอายุ หรือไม่ควรใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมิถุนายน 2542 เป็นต้นไป
  • หมดอายุ 6/2542" การแสดงข้อความโดยใช้คำว่าหมดอายุ เมื่ออ่านผ่าน ๆ แล้ว อาจไม่มีข้อสงสัยอะไร แต่จะพบว่ามีความเข้าใจเป็น 2 กลุ่ม

    กลุ่มแรก มีความเข้าใจว่าเดือนมิถุนายน 2542 ถุงยางอนามัยยังสามารถใช้ได้ และจะหมดอายุตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542
  • กลุ่มที่ 2 เข้าใจว่าถุงยางอนามัยดังกล่าว หมดอายุตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542จากคำนิยามคำว่า "วันหมดอายุ" หมายความถึง วันกำหนดที่แจ้งบนฉลากสำหรับการผลิตแต่ละครั้ง ซึ่งแสดงว่าในช่วงระยะเวลาก่อนวันนั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังคงมีคุณภาพมาตรฐานตามข้อกำหนด วันเวลาดังกล่าว ได้จากการรวมอายุของผลิตภัณฑ์ต่อจากวันที่ผลิตแต่ละครั้ง วันสิ้นอายุแจ้งเป็น เดือน ปี ท่านั้น หมายความว่า ลิตภัณฑ์ยังคงมีคุณภาพตามข้อกำหนดจนถึงวันสุดท้าย ของเดือนนั้นดังนั้นในกรณีที่มีการแสดงข้อความว่า "หมดอายุ 6/2542" ความหมายที่ถูกต้อง คือ ถุงยางอนามัยดังกล่าวมีอายุการใช้งานจนวันที่ 30 เดือนมิถุนายน 542 หรือไม่ควรใช้ถุงยางอนามัยดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นไป

การเก็บรักษา
ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้ด้วยตัวของมันเอง เมื่อระยะเวลาผ่านไป แต่จะเสื่อมสภาพได้มากขึ้นหากมีการเก็บรักษาอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนด จึงควรมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้
  • ไม่ควรเก็บรักษาในที่มีความชื้นสูง ในที่ร้อนหรือสัมผัสโดยตรงกับแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์
  • ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในช่องเก็บของในรถยนต์เนื่องจากมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน
  • ไม่ควรเก็บในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น ในกระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับ ทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย
 ข้อควรระวัง
http://dpc9.ddc.moph.go.th/napha9/images/bullet01.gif  ระยะเวลา การใช้ถุงยางอนามัยต้องใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งห้ามนำกลับมาใช้ใหม่และการใช้แต่ละชิ้นไม่ควรนานเกิน 30 นาทีเพราะหากใช้เป็นระยะเวลานานความแข็งแรงและความทนทานของถุงยางอนามัยอาจลดลงและทำให้ถุงยางอนามัยรั่วได้

http://dpc9.ddc.moph.go.th/napha9/images/bullet01.gif  การใช้ร่วมกับสารหล่อลื่น การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่นด้วย สารหล่อลื่นที่ใช้เป็นชนิดที่มีน้ำหรือซิลิโคนเป็นตัวละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วาย เจลลี่ ในกรณีที่ผู้ใช้พึงพอใจให้มีการหล่อลื่นเพิ่มขึ้นโดยใช้สารหล่อลื่นมาทาถุงยางอนามัยเพิ่มนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารหล่อลื่นประเภท น้ำมันพืช น้ำมันแร่ เช่น ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร ฯลฯ เนื่องจากน้ำมันจะไปทำปฏิกริยากับยาง และสามารถทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพและมีรูรั่วได้

http://dpc9.ddc.moph.go.th/napha9/images/bullet01.gif  การใช้ถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ ปัจจุบันพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดพิเศษเช่น มีการฝังมุก มีขนม้าแซม มีฟองน้ำ หรือมีขอบตาแพะ ถุงยางอนามัยเหล่านี้เป็นการลักลอบผลิตหรือนำเข้า โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ถุงยางอนามัยเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติในการคุมกำเนิดหรือป้องกันโรคแต่อย่างใด ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมุ่งหวังเพียงเพื่อสร้างความสุขและความพอใจให้แก่คู่นอนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงจะได้รับความเจ็บปวดระคายเคืองมากกว่า และอาจก่อให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น  จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้
ผู้ชายบางท่านมีเทคนิคพิเศษในการใช้ถุงยางอนามัย เช่น การใส่หลาย ๆ ชั้นเพื่อป้องกันโรคหรือเพิ่มขนาด ซึ่งจะไม่มีผลเสียใด ๆ และสามารถลดความเสี่ยงจากการแตกของถุงยางอนามัยได้ แต่สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขนาดนั้น จะไม่สามารถเพิ่มได้มากเท่าใดนัก เพราะถุงยางอนามัยแต่ละชิ้นบางมาก ๆ แต่จะทำให้เกิดความสิ้นเปลือง และความรู้สึกที่ได้รับลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำถุงยางอนามัยมาใส่หลาย ๆ ชั้นโดยซ้อนกันแบบให้มีลอนเป็นระยะ ๆการใช้ในลักษณะดังกล่าว เป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสมเช่นกันเนื่องจากจะทำให้เกิดลักษณะพื้นผิวที่ไม่เรียบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเจ็บปวดแก่เพศหญิงได้
แม้ว่าถุงยางอนามัยจะเป็นผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถใช้ในการป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพอย่างถูกต้องเหมาะสมก็มิใช่เป็นวิธีการป้องกันโรคเอดส์ได้ร้อยเปอร์เซนต์ การละเว้นจากการสำส่อนทางเพศจะเป็นความปลอดภัยและสามารถป้องกันโรคเอดส์ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

 ตู้หยอดเหรียญ
            ในปัจจุบันปัญหาโรคเอดส์  ยังส่งผลให้ตระหนักถึงการรณรงค์แก้ไขปัญหาเอดส์อย่างต่อเนื่อง  โครงการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย 100%  ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยของหน่วยงานทั้งภาครัฐและองค์กรหลายๆแห่งร่วมกันรณรงค์ป้องกันและมิติใหม่ในการรณรงค์ด้วยการติดตั้งตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยบริการตามสถานที่ต่างๆ  นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดหาถุงยางอนามัยโดยไม่จำกัดเวลา สถานที่ และลดความเขินอาย จากการเผชิญหน้ากับผู้ขายหรือการไปขอรับฟรีจากสถานบริการสาธารณสุข

ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ
ซึ่งจะมีบริการติดตั้งตามสถานที่ต่างๆนั้นจะปรากฎข้อความมีรักอย่างมั่นใจถุงยางอนามัยช่วยให้ท่านปลอดภัยจากการตั้งครรภ์,  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เอดส์” บนตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอันเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย  100% ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย

คุณสมบัติของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ

ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยเป็นเครื่องหยอดเหรียญและจำหน่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ  โดยใช้เหรียญ(10,5 บาท)หยอดแลกซื้อถุงยางอนามัย 1 กล่อง บรรจุ 2 ชิ้น  ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้



สามารถติดตั้งได้สะดวก  และเคลื่อนย้ายได้ง่าย
  • มีน้ำหนักเบากะทัดรัด
  • เครื่องทำด้วยวัสดุแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย

สามารถกำหนดการหยอดเหรียญได้ไม่น้อยกว่า 2 ชนิด
  • มีระบบเก็บเหรียญอัตโนมัติที่ไม่ได้ขนาดตามที่กำหนด

ปัญหาอุปสรรค ขณะนี้การติดตั้งตู้หยอดเหรียญ ได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้วประมาณกว่า 2,000 ตู้    ทั่วประเทศ  เนื่องจากประสพปัญหาในการรณรงค์และขอความร่วมมือ  ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในเฉพาะหน่วยงานสาธารณสุข  ในส่วนภาคเอกชนได้ประสบปัญหาต้นทุนในการประกอบการ   จำเป็นที่จะต้องจำหน่ายในราคา  10 บาท  ทำให้ไม่แพร่หลาย  ไม่เกิดความนิยมหรือจูงใจมากนัก และ  สถานประกอบการหลายแห่งเกรงว่าจะเสื่อมเสียภาพลักษณ์   ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมาก

ผลดีของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัย
  1. สามารถให้การสนับสนุนบริการถุงยางอนามัย
  2. ได้อย่างทั่วถึงในชุมชนท้องถิ่น/โรงแรม/สถานเริงรมณ์/สถานศึกษาอาชีวะ/หอพัก,อพาร์ทเม้นต์
  3. เป็นกลวิธีในการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่พึงประสงค์ โดยครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย สำหรับผู้มีรายได้น้อย
  4. สามารถประหยัดงบประมาณของรัฐที่จะจัดซื้อถุงยางอนามัย

บทสรุป

การมีตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยติดตั้งให้บริการตามโรงแรม  สถานเริงรมณ์   หอพัก  สถานศึกษาระดับอาชีวะฯ นับเป็นการเพิ่มโอกาสในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคเอดส์    ตลอดจนลดปัญหาการทำแท้งในกลุ่มวัยรุ่นได้  เพราะเป็นการแก้ปัญหาได้ในกรณี  ที่คู่เพศสัมพันธ์ตระหนักถึงการป้องกันตนเอง  ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย  และไม่อยู่ในสถานะที่จะไปหาซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่กล้าซื้อตามร้านขายยา  ร้านสะดวกซื้อ  ที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ขายโดยตรง  รวมทั้งผู้ซื้อถุงยางอนามัยที่มีรายได้น้อยจะได้เข้าถึงได้ง่าย เนื่องจากมีราคาถูกกว่า