วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

19. ในปัจจุบันคนไข้เอดส์ไม่มีสตางค์จะซื้อยาจะทำอย่างไร


ตั้งแต่ต้นปี 2540 เป็นต้นมา ก่อนเงินบาทจะลอยตัว คนไข้เอดส์ทั่วประเทศเริ่มประสบกับปัญหาเรื่องค่ายาเพราะยาป้องกันโรคติดเชื้อแทรกซ้อน และยาต้านไวรัสเอดส์บางตัว ซึ่งแต่เดิมโรงพยาบาลต่าง ๆ สามารถเบิกได้ฟรีจากกระทรวงสาธารณะสุขเริ่มจะขาดมือลง โรงพยาบาลต้องให้คนไข้ซื้อเอง คนไข้ส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินจะซื้อได้เอง เพราะตกเดือนละ 8,000-30,000 บาท แล้วแต่ยาที่ต้องใช้ จึงทำให้หลายคนหมดอาลัยตายอยาก เลิกมาติดตามรักษาเลย ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าอีกไม่นาน โรงพยาบาลต่าง ๆ จะเต็มไปด้วยคนไข้ที่กลับมาด้วยอาการเอดส์กำเริบเพราะขาดการรักษาต่อเนื่องกระทรวงสาธารณสุขมีแนวคิดที่จะปรับเปลี่ยนการดูแลรักษา โรคเอดส์เข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลตามปกติ กล่าวคือให้แต่ละโรงพยาบาลให้การสงเคราะห์คนไข้เอดส์ที่ยากจนเหมือนกับการให้การสงเคราะห์คนไข้โรคอื่น ๆ ที่ยากจนทั่วไปคือคนไข้ออกค่ารักษาเองบางส่วน โรงพยาบาลให้การ
สงเคราะห์บางส่วน แต่เนื่องจากค่ายาเอดส์มีราคาแพง และต้องรักษายาวนาน ประกอบกับแต่ละโรงพยาบาลไม่ได้เตรียมตั้งงบประมาณไว้ก่อน กับความเคยชินที่เคยได้ยาฟรีมาหลายปีจึงทำให้หลายโรงพยาบาลปฏิเสธการให้การสงเคราะห์ผู้ป่วยโรคเอดส์ กล่าวคือถ้าไม่สามารถจ่ายค่ายาได้เต็มราคา ก็จะไม่มียาให้ไปเลย ทำให้เกิดการร้องเรียนขึ้นมาทางหน้าหนังสือพิมพ์ เดือดร้อนถึงสภากาชาดไทยต้องจัดสรรงบพิเศษ 15 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อสมทบเป็นค่ายาบางส่วนของผู้ป่วยเอดส์เงิน 15 ล้านบาทถูกใช้หมดภายใน 4 เดือน หนทางออกมีอย่างไร ?กระทรวงสาธารณสุขรับปากว่าจะของบค่ารักษาพยาบาล สำหรับผู้มีรายได้น้อยจากรัฐบาลเพื่อแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อรองรับปัญหาต้านโรคเอดส์ แต่รัฐจะตอบสนองได้มากน้อยเพียงใดในสภาวะเศรษฐกิจยุคไอเอ็มเอฟยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วยเอดส์มากขึ้นหลังจากที่เราให้ความสำคัญด้านการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ และด้านการป้องกันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่คนที่ติดเชื้อเดิมจะเริ่มป่วยแล้วครับโรงพยาบาลแต่ละแห่งก็ต้องทำใจ ต้องเอาเงินบำรุงโรงพยาบาลที่มีอยู่บางส่วนมาใช้เป็นค่ายาของคนไข้เอดส์บ้าง มิฉะนั้นแล้วเมื่อคนเหล่านี้ป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลมา โรงพยาบาลอาจต้องสิ้นเปลืองค่ารักษาพยาบาลมากกว่านี้ก็ได้คนไข้ก็ต้องพยายามช่วยตัวเองให้มากที่สุด ญาติพี่น้องที่พอมีสตางค์ก็ควรช่วยสนับสนุนค่ายาบ้าง คนไหนที่เบิกค่ารักษาพยาบาลจากต้นสังกัดได้ก็พยายามเบิกจากต้นสังกัด ในขณะเดียวกันต้นสังกัด ในขณะเดียวกันต้นสังกัดที่ทำหน้าที่ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ต้องมีความระมัดระวังไม่ให้ความลับของคนไข้รั่วไหลจนเขาถูกไล่ออกธุรกิจเอกชนใหญ่ ๆ ที่ยังมีกำไรอยู่ก็ควรเข้ามามีบทบาทช่วยรัฐในการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของลูกจ้าง หรือคนงานตัวเองที่ติดเชื้อเอดส์กองทุนประกันสังคมก็ควรมีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ในการเบิกค่ารักษาพยาบาลด้านโรคเอดส์แก่ผู้ประกันตนให้ได้รับประโยชน์บ้างแพทย์เองก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรักษา โดยต้องประหยัดมากขึ้นใช้เฉพาะยาที่จำเป็นจริง ๆ ยาตัวใดที่ไม่น่าจะมีประโยชน์ก็กล้าจะลองหยุดดู หรือกล้าเลือกใช้สูตรการรักษาที่ถูกกว่า ถ้าผลไม่ต่างกันหรืออาจจะด้วยกว่ากันเพียงเล็กน้อยกล่าวโดยสรุป ทุกฝ่ายต้องช่วยกันครับในสภาวะเศรษฐกิจที่รัดตัวอย่างในปัจจุบัน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น